แก้ปัญหา ถุงใต้ตา ด้วยเทคนิคซ่อนแผล

คลิกเพื่ออ่าน : https://www.wongnai.com/articles/undereye-surgery

บอกลาใต้ตาโทรม! เผยทุกเทคนิคแก้ปัญหา ถุงใต้ตา แบบไร้แผลเป็น สวยเนียนเป็นธรรมชาติ

 

ใต้ตาดำคล้ำ ริ้วรอยร่องลึก และถุงใต้ตาหย่อนคล้อย เป็นปัญหาที่สร้างความกังวลใจให้กับใครหลายคน ทำให้ใบหน้าดูเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย และดูมีอายุเกินจริง ในอดีต การผ่าตัดศัลยกรรมอาจเป็นทางออกเดียวที่หลายคนนึกถึง แต่ด้วยความก้าวหน้าของนวัตกรรมความงามในปัจจุบัน มีเทคนิคการรักษาแบบ “ไร้แผลเป็น” หรือ “แผลเล็ก” เกิดขึ้นมากมาย ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และไม่ต้องพักฟื้นนาน บทความนี้จะพาทุกท่านไปเจาะลึกถึงหลากหลายวิธีที่ช่วยคืนความสดใสให้ดวงตาคู่สวยของคุณ

ทำความเข้าใจสาเหตุของปัญหา ถุงใต้ตา

ก่อนจะไปดูวิธีแก้ไข เรามาทำความเข้าใจถึงต้นตอของปัญหาของ ถุงใต้ตา กันก่อน เพื่อที่จะได้เลือกวิธีรักษาที่ตรงจุดที่สุด

  • รอยคล้ำ ถุงใต้ตา: เกิดได้จากหลายสาเหตุ ทั้งจากพันธุกรรม โรคภูมิแพ้ที่ทำให้เส้นเลือดขยายตัว การพักผ่อนน้อย การขยี้ตาบ่อยๆ รวมถึงการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติบริเวณผิวหนังใต้ตา
  • ริ้วรอยและร่องลึก: คอลลาเจนและอีลาสตินในผิวที่ลดลงตามวัย การแสดงสีหน้าซ้ำๆ และผิวที่แห้งขาดความชุ่มชื้น ล้วนเป็นสาเหตุของริ้วรอยเล็กๆ และร่องลึกบริเวณใต้ตา
  • ถุงใต้ตา: เกิดจากการหย่อนคล้อยของผิวหนังและกล้ามเนื้อรอบดวงตา ร่วมกับการปูดนูนออกมาของไขมันสะสมใต้ตา ซึ่งอาจเป็นไปตามวัยหรือจากพันธุกรรม

 

รวมสุดยอดเทคนิคแก้ปัญหา ถุงใต้ตา แบบไร้แผลเป็น

ปัจจุบันมีหัตถการมากมายที่ช่วยจัดการปัญหา ถุงใต้ตาได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ ซึ่งแต่ละวิธีก็มีจุดเด่นและเหมาะกับปัญหาที่แตกต่างกันไป

 1. การผ่าตัด ถุงใต้ ตาไร้แผล (Transconjunctival Blepharoplasty)

สำหรับผู้ที่มีปัญหา ถุงใต้ ตาชัดเจน เทคนิคนี้ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เป็นการผ่าตัดขนาดเล็กโดยซ่อนแผลไว้ด้านในเปลือกตาล่าง (บริเวณเยื่อบุตา) แพทย์จะทำการนำไขมันส่วนเกินออกผ่านแผลเล็กๆ นี้ ทำให้ไม่มีรอยแผลเป็นให้เห็นจากภายนอกเลย

  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาชัดเจน แต่ผิวหนังภายนอกยังไม่หย่อนคล้อยมากนัก
  • ข้อดี: ไม่ทิ้งรอยแผลเป็นภายนอก, พักฟื้นเร็วกว่าการผ่าตัดแบบดั้งเดิม, แก้ปัญหาไขมันสะสมได้ตรงจุด
  • ข้อควรพิจารณา: เป็นการผ่าตัดเล็ก ยังคงต้องมีการดูแลแผลและอาจมีอาการบวมช้ำได้, ไม่สามารถตัดหนังตาส่วนเกินออกไปได้
ถุงใต้ตา
แก้ปัญหาใต้ตาไร้แผลเป็น

 

ผ่าตัดถุงใต้ตา
แก้ปัญหาใต้ตาไร้แผลเป็น

2. ฟิลเลอร์ (Filler): เติมเต็มร่องลึก คืนความสดใสทันที

การฉีดสารเติมเต็มประเภทกรดไฮยาลูรอนิก (Hyaluronic Acid – HA) เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสูงสุดในการแก้ปัญหาร่องลึกใต้ตาและเบ้าตาโหล เมื่อแพทย์ฉีดฟิลเลอร์เข้าไปยังบริเวณที่ยุบตัวหรือเป็นร่องลึก สาร HA จะเข้าไปช่วยเติมเต็มให้ผิวบริเวณนั้นดูตื้นและเรียบเนียนขึ้นทันที

  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาร่องน้ำตาลึก เบ้าตาโหล ใต้ตาคล้ำจากการที่ผิวยุบตัวลงไป
  • ข้อดี: เห็นผลลัพธ์ทันทีหลังทำ ไม่ต้องพักฟื้น สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติ ปรับแต่งได้ง่าย และยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิว
  • ข้อควรพิจารณา: ผลลัพธ์อยู่ได้นานประมาณ 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิลเลอร์และการดูแลตัวเอง ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้น เพราะเป็นบริเวณที่ผิวบอบบางและมีเส้นเลือดสำคัญ หากฉีดผิดพลาดอาจเกิดเป็นก้อนหรือผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
  • การดูแลหลังทำ: งดการนวด กด หรือขยับใบหน้าแรงๆ ในช่วงแรก, หลีกเลี่ยงความร้อนและแอลกอฮอล์, ดื่มน้ำมากๆ เพื่อให้ฟิลเลอร์อุ้มน้ำและฟูสวย
ผ่าตัดถุงใต้ตาไร้แผล

 

3. การร้อยไหม (Thread Lift): กระตุ้นคอลลาเจน ยกกระชับผิว

เทคนิคนี้ใช้การร้อยไหมละลายเข้าไปใต้ผิวหนังบริเวณใต้ตา เพื่อกระตุ้นให้เกิดการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินขึ้นมาใหม่รอบๆ เส้นไหม ทำให้ผิวเกิดความกระชับ เต่งตึงขึ้น ริ้วรอยเล็กๆ ดูจางลง และยังช่วยปรับคุณภาพผิวให้ดีขึ้นในระยะยาว

  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาริ้วรอยเล็กๆ ใต้ตา ผิวขาดความกระชับไม่มากนัก หรือต้องการปรับสภาพผิวให้แน่นฟูขึ้น
  • ข้อดี: ช่วยฟื้นฟูโครงสร้างผิวจากภายใน, เห็นผลเรื่องความกระชับและคุณภาพผิวที่ดีขึ้นเรื่อยๆ, ไม่ต้องพักฟื้นนาน
  • ข้อควรพิจารณา: อาจมีอาการบวมหรือรอยช้ำได้บ้างในช่วงแรก และไม่เหมาะกับผู้ที่มีร่องลึกหรือถุงใต้ตาขนาดใหญ่มากๆ เพราะการร้อยไหมเพียงอย่างเดียวอาจไม่สามารถแก้ปัญหาได้ทั้งหมด ความชำนาญของแพทย์เป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันผิวไม่เรียบหรือเกิดพังผืด
  • การดูแลหลังทำ: หลีกเลี่ยงการอ้าปากกว้างๆ หรือการนวดหน้าแรงๆ ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก, งดทำเลเซอร์หรือหัตถการที่ใช้ความร้อนสูงบริเวณที่ร้อยไหม

 

4. เลเซอร์ (Laser) และพลังงานแสง: ลดรอยคล้ำ ปรับผิวให้เรียบเนียน

การใช้พลังงานแสงและเลเซอร์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการรักษาปัญหาใต้ตา โดยสามารถแบ่งตามปัญหาที่ต้องการแก้ไขได้ดังนี้

  • ลดรอยคล้ำจากเม็ดสี: เลเซอร์กลุ่ม Q-Switched หรือ Picosecond Laser จะส่งพลังงานแสงลงไปทำลายเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติให้แตกตัว ทำให้รอยคล้ำใต้ตาที่เกิดจากเม็ดสีค่อยๆ จางลง
  • ลดริ้วรอยและฟื้นฟูผิว: เลเซอร์กลุ่ม Fractional Laser เช่น CO2 หรือ Erbium จะยิงพลังงานลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่ ทำให้ผิวใต้ตาเรียบเนียนและริ้วรอยลดลง แต่ต้องใช้ความระมัดระวังและทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเนื่องจากเป็นผิวที่บอบบาง
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหารอยคล้ำใต้ตาจากเม็ดสี, ริ้วรอยเล็กๆ และผิวที่ไม่เรียบเนียน
  • ข้อดี: เป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุของเม็ดสีและโครงสร้างผิว, สามารถทำร่วมกับหัตถการอื่นได้
  • ข้อควรพิจารณา: อาจต้องทำหลายครั้งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน, หลังทำผิวอาจมีรอยแดงหรือตกสะเก็ดได้บ้าง, ต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดอย่างเคร่งครัด
  • การดูแลหลังทำ: ทาครีมให้ความชุ่มชื้นและครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ, งดการสครับหรือใช้ผลิตภัณฑ์ที่ระคายเคืองผิว

 

5. เทคโนโลยีคลื่นพลังงาน (Energy-Based Devices): ยกกระชับ ลดถุงใต้ตา

นวัตกรรมที่ใช้คลื่นพลังงาน เช่น คลื่นวิทยุ (Radiofrequency – RF) และคลื่นอัลตราซาวด์ (Ultrasound) สามารถส่งพลังงานลงลึกถึงชั้นผิวเพื่อจัดการกับปัญหาความหย่อนคล้อยและไขมันสะสมได้

  • HIFU (High-Intensity Focused Ultrasound): ใช้พลังงานอัลตราซาวด์ความเข้มข้นสูง ยิงลงไปใต้ผิวหนังทำให้เกิดการหดตัวของชั้นกล้ามเนื้อ (SMAS) ส่งผลให้ผิวเกิดการยกกระชับขึ้น
  • Thermage: ใช้พลังงานคลื่นวิทยุแบบขั้วเดียว (Monopolar RF) ส่งความร้อนลงไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในผิวชั้นลึก ช่วยให้ผิวแน่นและกระชับขึ้น
  • Agnes: เป็นเทคโนโลยีคลื่นวิทยุแบบ Microneedle RF ที่ออกแบบมาเพื่อสลายไขมันโดยเฉพาะ โดยแพทย์จะใช้หัวเข็มขนาดเล็กส่งพลังงาน RF เข้าไปที่ถุงไขมันใต้ตาโดยตรง ทำให้ไขมันสลายไปและผิวกระชับขึ้น เป็นอีกทางเลือกของการลดถุงใต้ตาโดยไม่ต้องผ่าตัด
  • เหมาะสำหรับ: ผู้ที่มีปัญหาผิวใต้ตาหย่อนคล้อย, ถุงใต้ตาไม่ใหญ่มาก, ต้องการยกกระชับผิวโดยรวม
  • ข้อดี: ไม่มีการใช้เข็ม (ยกเว้น Agnes), ไม่ต้องพักฟื้น, ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในระยะยาว
  • ข้อควรพิจารณา: ผลลัพธ์จะค่อยๆ ปรากฏขึ้นในช่วง 1-3 เดือน, อาจรู้สึกเจ็บขณะทำได้บ้าง, ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง
  • การดูแลหลังทำ: สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ แต่ควรหลีกเลี่ยงความร้อนและแสงแดดจัดในช่วงแรก

เลือกวิธีไหนให้เหมาะกับคุณ?

การจะเลือกเทคนิคใดนั้น ขึ้นอยู่กับการประเมินปัญหาของแต่ละบุคคลโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ บางคนอาจมีเพียงปัญหาเดียว แต่หลายคนก็มักจะมีปัญหาหลายอย่างร่วมกัน เช่น มีทั้งร่องลึกและถุงใต้ตา ซึ่งแพทย์อาจแนะนำให้ใช้การรักษาแบบผสมผสานเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด

การมีดวงตาที่สดใสไร้ร่องรอยความเหนื่อยล้า ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและปลอดภัย การปรึกษาแพทย์ผู้มีประสบการณ์เพื่อวางแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคุณโดยเฉพาะ คือกุญแจสำคัญที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและคืนความอ่อนเยาว์ให้กับใบหน้าของคุณได้อย่างเป็นธรรมชาติ

รีวิว

เกี่ยวกับเรา

การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด ถุงใต้ตา

1) แจ้งข้อมูลสุขภาพกับแพทย์อย่างละเอียด ได้แก่

  • ปัญหาสุขภาพ 
  • โรคร้ายแรง / โรคประจำตัว โดยเฉพาะ โรคเบาหวาน น้ำตาลไม่ควรเกิน 200 mg/dl ก่อนทำการผ่าตัด หรือ ถ้าต่ำได้กว่านั้นก็ยิ่งดี
  • ประวัติการผ่าตัดและการได้ยาระงับความรู้สึก ยิ่งถ้าใครแพ้ยาชา ต้องบอกไว้นะครับ สำคัญมากๆๆ
  • ฟันโยก ฟันปลอม และปัญหาเกี่ยวกับฟัน
  • การแพ้ยา / แพ้อาหาร ตรงนี้ ยิ่งสำคัญ ถ้าไม่รู้ว่าเคยกินยาตัวนี้ไหม ให้บอกว่า ไม่รู้นะครับ อย่าไปบอกว่า ไม่แพ้
  • อื่น ๆ

2) ในกรณีดมยาสลบ มีภาวะเสี่ยง หรือโรคประจำตัว จะมีการเตรียมพร้อมร่างกายสำหรับการผ่าตัดและดมยาสลบ ได้แก่

  • การเอกซเรย์ ( X- ray  )
  • การตรวจเลือด (  CBC )
  • การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยเฉพาะคนอายุ 50 ปีขึ้นไปควรทำการตรวจถ้าต้องการดมยาสลบ
  • ถ้าท่านมีโรคประจำตัว ก่อนผ่าตัดควรทำการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรกรรม หรือ แพทย์ผระจำตัวของท่านก่อนทำการผ่าตัด

3) งดใช้ยา ยาบำรุง สมุนไพรบางชนิดที่อาจมีผลกับการผ่าตัด ก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 7 วัน และนำยาประจำตัวและยาสมุนไพรต่าง ๆ ที่รับประทานมาโรงพยาบาลเพื่อแจ้งแพทย์ในวันผ่าตัด เช่น

  • ยาแก้ปวด กลุ่ม NSIADS
  • ยาแอสไพริน 
  • วิตามิน E
  • น้ำมันปลา ( Fish Oil ) 
  • สาหร่ายทะเล (omega 3)
  • เพราะ ยาหรือ อาหารเสริมดังกล่าวส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด เรียกง่ายๆ เลือดออกง่าย หยุดยาก

4) ควรงดสูบบุหรี่ ก่อนการผ่าตัดประมาณ 6 สัปดาห์ เพื่อป้องกันภาวะเนื้อเยื่อขาดเลือดมาเลี้ยง ทำให้เนื้อเยื่อตายได้ ถ้าสูบบุหรี่จัดต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบทันที และควรงดสูบบุหรี่หลังผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์

5) หยุดดื่มสุรา ภายใน 24 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด และควรหยุดดื่มสุราหลังผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะ ถ้าหยุดแล้วท่านไปดื่มทันที รับรองเลิอดไหลเป็นน้ำแน่ๆ เพราะ alcohol มีส่วนกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต

6) อาบน้ำชำระร่างกายและสระผมให้สะอาด เพราะ อาจจะไม่ได้สระผม ไปเกือบ 1 สัปดาห์ เพราะ แผลที่เปลือกตาห้ามโดนน้ำ แต่ในคนไข้บางท่านที่ชอบดำน้ำและ มีแว่นตาดำน้ำใหญ่ๆ ที่กันน้ำได้ สามารถใส่แล้ว ทำการสระผมอย่างระมัดระวังได้นะครับ ุถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ถ้าๆไม่ได้สระผม

7) ห้ามใช้เครื่องสำอางบริเวณหนังตาและผิวหนังรอบดวงตาหลังผ่าตัด 1 สัปดาห์

8) ในกรณีดมยาสลบ งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัดตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการสูดสำลักน้ำย่อยหรือเศษอาหารจากกระเพาะอาหารเข้าไปสู่ปอดระหว่างการได้รับยาระงับความรู้สึก

9) หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์ควรใส่แว่นตากันแดด เพื่อความสบายตาในการมอง เนื่องจาก หลังผ่าตัด ตาจะเปิดกว้าง อาจมีความรู้สึกแสบตา เพราะ เห็นแสงจ้า นอกจากนี้ แว่นตากันแตด นอกจากกันแดดแล้ว ยังกันลม และ ฝุ่นด้วย

10) มีคนสนิทมาด้วย เพื่อพากลับบ้าน เพราะหลังผ่าตัดจะใช้สายตาไม่สะดวก ไม่ควรกลับบ้านตามลำพัง

ดูแลหลัง ผ่าตัด ถุงใต้ตา

  1.  หลังผ่าตัดภายใน 24 – 72 ชั่วโมง นอนยกศีรษะสูง ประคบเย็นบริเวณดวงตาทั้งสองข้างเพื่อลดอาการบวม
  2. งดใช้สายตาในช่วงแรก ๆ เพราะการใช้สายตา อย่างการดูทีวีหรือการอ่านหนังสือ ต้องกะพริบตาและเปลือกตาเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้แผลอักเสบและหายช้า
  3. ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำเกลือ เช็ดคราบเลือด และสิ่งสกปรกออกอย่างเบามือ วันละ 2 – 3 ครั้ง เช็ดได้บ่อย ๆ เมื่อสกปรก
  4. หลังผ่าตัด 5 – 7 วัน แพทย์จะนัดติดตามอาการ แผลจะบวมอยู่ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ จากนั้นแผลจะหายเป็นปกติ ดูเป็นธรรมชาติประมาณ 1 เดือน
  5. หลังผ่าตัด 7 วัน ห้ามทานอาหารเผ็ดจัด เพราะจะทำให้เหงื่อออกมาก แผลเปียก ความดันเลือดสูงขึ้น อาจทำให้เลือดออกจากแผล
  6. หลังผ่าตัด 2 สัปดาห์ ต้องงดสุราและบุหรี่ เพราะมีผลกับการหายของแผลผ่าตัด งดการทำงานหรือการออกกำลังกายที่รุนแรง สามารถแต่งหน้าและแต่งแต้มดวงตาได้ตามปกติ
  7. หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับแผล ได้แก่ ตาแดงมาก เคืองตา แผลแยก ต้องมาพบแพทย์ทันที
  8. ทานยาตามที่แพทย์สั่ง ถ้ามีอาการแพ้ยา เช่น คัน มีผื่นแดง คลื่นไส้ อาเจียน แน่นหน้าอก ให้หยุดทานทันทีและรีบมาพบแพทย์
  9. กรณีที่ใส่คอนแทคเลนส์ให้เปลี่ยนไปสวมแว่นตาในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด หรือจนกว่าจะหายบวม ห้ามดึงเปลือกตาเพื่อใส่คอนแทคเลนส์เด็ดขาด เพราะแผลผ่าตัดอาจแยกจากกันได้ หลังผ่าตัดครบ 14 วัน สามารถกลับมาใส่คอนแทคเลนส์ได้ตามปกติ
  10. ห้ามขยี้ตารุนแรงหลังผ่าตัด 2 เดือน
  11. หากมีอาการปวดแผล สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้


การผ่าตัดแผลเล็กต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ของศัลยแพทย์ตกแต่ง เป็นสำคัญ นอกจากนี้ การผ่าตัดตา ไม่สามารถทำหลายๆครั้งแบบ เสริมหน้าอก หรือ เสริมจมูกได้นะครับ พังแล้วพังเลย แก้ยากมากยิ่งถ้ากรีดแผลยาวๆมา ดังนั้นก่อนทำการผ่าตัด ควรปรึกษา ศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการก่อน โดยสามารถ

ปรึกษา การผ่าตัด ทำตาแผลเล็ก แผลมินิ เพิ่มเติมที่ line OA  ของคลินิก Grandmaster นะครับ

ข้อควรระวังและคำแนะนำ

แม้การทำผ่าตัดตาแผลเล็กจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อควรพิจารณาเช่นกัน เทคนิคนี้เหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่มีเปลือกตาไม่หนามากและไม่มีปัญหาหนังตาหย่อนคล้อยอย่างรุนแรง หากมีหนังตาส่วนเกินเยอะมาก การผ่าตัดแบบกรีดยาวเพื่อตัดหนังตาส่วนเกินออกอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เทคนิคแผลเล็กเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความแม่นยำและประสบการณ์สูงในการสร้างชั้นตาที่สวยงามและเท่ากันทั้งสองข้าง ดังนั้น การศึกษาข้อมูลและเลือกปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีความชำนาญและน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ก่อนตัดสินใจ ควรเข้ารับการประเมินโครงสร้างตาอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าเทคนิคนี้คือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณ