ไปปรึกษา คลินิกบิกอยากทำตา ดันโดนทักว่า เป็น กล้ามเนื้อตาอ่อรแรง ใครเคยโดนแบบนี้บ้าง !!! “ดูง่วงเหรอ?” “หน้าเหนื่อยนะ?” อาจไม่ใช่แค่พักผ่อนไม่พอ! รู้จักภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ptosis)
เคยไหมครับ? ทั้งที่นอนมาเต็มอิ่ม แต่กลับโดนทักด้วยคำถามเดิมๆ ว่า “เมื่อคืนไม่ได้นอนเหรอ?” หรือ “หน้าตาดูเหนื่อยๆ นะ” ความรู้สึกแบบนี้มันบั่นทอนความมั่นใจไม่น้อยเลยใช่ไหมครับ หลายคนพยายามแก้ด้วยการทำตาสองชั้น แต่ตาก็ยังดูไม่สดใสอยู่ดี… วันนี้หมอจะมาเล่าให้ฟังครับว่า ต้นตอของปัญหาอาจไม่ได้อยู่ที่ผิวหนัง แต่อยู่ลึกลงไปถึง “กล้ามเนื้อ” แต่ไม่ใช่กล้ามเนื้อทั่วไป แต่เป็นกล้ามเนื้อที่ใช้เปิดเปลือกตา หรือทางการแพทย์จะเรียกว่า “ภาวะ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (Ptosis)“ นั่นเอง
เช็คลิสต์: คุณเข้าข่ายภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงหรือไม่?
ลองหยิบกระจกขึ้นมา แล้วสังเกตดวงตาตัวเองดูนะครับ หากมีอาการเหล่านี้มากกว่าหนึ่งข้อ คุณอาจกำลังมีภาวะนี้ซ่อนอยู่:
วิธีการวัด ภาวะ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ( Ptosis ) ด้วยตัวเอง !!!
การวัดภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง (หนังตาตก) ทำได้ทั้งจากการสังเกตอาการด้วยตนเองและการตรวจโดยศัลยแพทย์ สำหรับการสังเกตตนเอง ให้ดูว่าเปลือกตาบนบังตาดำเกิน 2 มิลลิเมตรหรือไม่, หนังตาดูปรือเหมือนง่วงนอนตลอดเวลา, มีการเลิกคิ้วเพื่อช่วยลืมตา, และตาดูไม่เท่ากัน. การตรวจโดยแพทย์จะมีการวัดระยะเปลือกตา (MRD-1), ทดสอบการทำงานของกล้ามเนื้อยกเปลือกตา (Levator Function Test), ตรวจการกลอกตา (Ocular Motility Testing), และอาจมีการทดสอบพิเศษ เช่น Tensilon Test สำหรับภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรงทั่วไป. โดยในที่นี่จะกล่าวถึงวิธี ที่เรียกว่า MRD-1
จากภาพ ดูง่ายๆเลยว่า ใครเปลือกตาลงมาบังขอบตาดำ โดยวัดจากจุดเรืองแสงของตา ขึ้นไปที่ขอบเปลือกตา มากกว่า 2 mm ขึ้นไปแสดงว่า เป็น กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เพราะ ปกติให้จำง่ายๆว่า ตาดำเรามีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8 มิล ถึง 1 เซนติเมตร ถ้าเหลือเนื้อที่จากจุดกึ่งกลางที่เรืองแสงไปถึงขอบเปลือกตาน้อยว่า 4 -5 มิล แสดงว่าท่านเริ่มมีปัญหา กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง แล้ว
ส่วนวิธีอื่นๆ เช่น
- Levator Function Test:ให้ผู้ป่วยก้มศีรษะแล้วลืมตาสุดโดยไม่ต้องใช้หน้าผากช่วย แล้ววัดว่าสามารถยกเปลือกตาได้กี่มิลลิเมตร หากยกได้น้อยกว่า 4 มิลลิเมตร แสดงว่า กล้ามเนื้ออ่อนแรง.
- Ocular Motility Testing:เป็นการทดสอบการทำงานของกล้ามเนื้อตา โดยให้ผู้ป่วยมองตามนิ้วหรือวัตถุต่างๆ โดยไม่ขยับใบหน้า.
- Tensilon Test:การฉีดยา edrophonium chloride เพื่อตรวจหาโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia Gravis) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง.
หมอจะกล่าวไว้คร่าวๆ เท่านั้น เพราะ เดี๋ยวจะเยอะเกินไป มาเข้าเรื่องเกี่ยวกับการแก้ไข ภาวะ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง กันเลยดีกว่า
- ตาดูปรือเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา (อาการที่ชัดเจนที่สุด)
- เปลือกตาบนตกลงมาปิดทับตาดำมากกว่าปกติ ( มากกว่า 2 มิลิเมตรจากขอบตาดำ )
- ตาสองข้างดูไม่เท่ากันอย่างชัดเจน ข้างหนึ่งดูเปิดกว้าง แต่อีกข้างดูตก
- เบ้าตาลึกโบ๋กว่าปกติ
- ต้อง “เลิกคิ้ว” เพื่อช่วยให้มองเห็นชัดขึ้นโดยไม่รู้ตัว
- รู้สึกเมื่อยล้าที่หน้าผาก หรือปวดศีรษะบ่อยๆ ในช่วงบ่าย ( อันนี้เกิดจาก กล้ามเนื้อหน้าผากล้ามาตั้งแต่เช้า )
ไม่ใช่แค่เรื่องความสวยงาม: ปัญหาที่ซ่อนอยู่หลังอาการตาปรือ
บางคนอาจคิดว่าอาการตาปรือเป็นแค่เรื่องบุคลิกภาพ แต่จริงๆ แล้วมันส่งผลกระทบมากกว่าที่คิดครับ
- ลองนึกภาพคนปวดหลังที่ต้องใช้ไม้เท้าช่วยพยุงตลอดเวลาสิครับ คนที่มีภาวะ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง ก็เช่นกัน กล้ามเนื้อเปิดเปลือกตา (Levator Muscle) อ่อนแรงทำงานได้ไม่ดี การมองเห็นลดลง สมองเราจึงสั่งให้ กล้ามเนื้อหน้าผาก (Frontalis Muscle) เข้ามาช่วย “ยก” เปลือกตาแทน ผลลัพธ์คืออะไร? ก็คือการย่นหน้าผากตลอดเวลาจนกลายเป็นริ้วรอยถาวร และอาการปวดเมื่อยล้าที่หน้าผากหรือปวดศีรษะในช่วงเย็นนั่นเองครับ
- บดบังการมองเห็น: เปลือกตาที่ตกลงมาจะจำกัดขอบเขตการมองเห็น ทำให้ทัศนวิสัยแคบลง ซึ่งอาจเป็นอันตรายในการใช้ชีวิตประจำวันได้
- เสียบุคลิกภาพ: ใบหน้าที่ดูง่วงเศร้าตลอดเวลา อาจทำให้คนอื่นเข้าใจผิดและส่งผลต่อการเข้าสังคมหรือการทำงานได้
การแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง vs. การทำตาสองชั้นทั่วไป
นี่คือจุดที่คนไข้สับสนมากที่สุดครับ ต้องเข้าใจก่อนว่า…
- การทำตาสองชั้นทั่วไป: คือการ “ตกแต่งภายนอก” โดยเน้นที่การจัดการกับ “ผิวหนัง” และ “ไขมัน” ส่วนเกิน เพื่อสร้างรอยพับให้สวยงาม
- การแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง: คือการ “ซ่อมแซมโครงสร้าง” โดยศัลยแพทย์จะเข้าไปจัดการที่ “กล้ามเนื้อ” ที่อยู่ลึกกว่า เพื่อปรับแรงดึงให้กลับมาทำงานได้ปกติ เปรียบเสมือนการเข้าไปปรับความตึงของสปริงที่หย่อนยานให้กลับมาดีดตัวได้ดีเหมือนเดิม
การทำตาสองชั้นเพียงอย่างเดียวในคนไข้ที่มีภาวะนี้ จะไม่สามารถแก้ปัญหาตาปรือได้ และอาจทำให้ชั้นตาดูสูงผิดปกติอีกด้วยครับ
แนวทางการผ่าตัดแก้ไข: ศัลยแพทย์ทำอะไรกับเปลือกตาของคุณ?
การผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง เป็นหัตถการที่ละเอียดอ่อนและต้องอาศัยความเข้าใจในกายวิภาคอย่างลึกซึ้ง โดยศัลยแพทย์จะทำการกรีดแผลตามแนวชั้นตาธรรมชาติ เพื่อเข้าไปปรับระดับและซ่อมแซมกล้ามเนื้อยกเปลือกตาให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง ในกระบวนการเดียวกัน ยังสามารถนำไขมันส่วนเกินออก, จัดเรียงไขมันแก้เบ้าตาลึก, และสร้างชั้นตาสองชั้นที่สวยงามและเป็นธรรมชาติไปพร้อมกันได้เลย
การผ่าตัดและการดูแลตัวเอง
การผ่าตัดแก้ไขกล้ามเนื้อตาเป็นการผ่าตัดที่ละเอียดอ่อน ใช้ยาชาเฉพาะที่ ศัลยแพทย์จะทำการประเมินระดับความรุนแรงและออกแบบการผ่าตัดให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล หลังการผ่าตัดอาจมีอาการบวมได้ในช่วงแรก ซึ่งเป็นเรื่องปกติและจะค่อยๆ ดีขึ้นตามลำดับ การปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัด แก้ไขภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
1) แจ้งข้อมูลสุขภาพกับแพทย์อย่างละเอียด ได้แก่
- ปัญหาสุขภาพ
- โรคร้ายแรง / โรคประจำตัว โดยเฉพาะ โรคเบาหวาน น้ำตาลไม่ควรเกิน 200 mg/dl ก่อนทำการผ่าตัด หรือ ถ้าต่ำได้กว่านั้นก็ยิ่งดี
- ประวัติการผ่าตัดและการได้ยาระงับความรู้สึก ยิ่งถ้าใครแพ้ยาชา ต้องบอกไว้นะครับ สำคัญมากๆๆ
- ฟันโยก ฟันปลอม และปัญหาเกี่ยวกับฟัน
- การแพ้ยา / แพ้อาหาร ตรงนี้ ยิ่งสำคัญ ถ้าไม่รู้ว่าเคยกินยาตัวนี้ไหม ให้บอกว่า ไม่รู้นะครับ อย่าไปบอกว่า ไม่แพ้
- อื่น ๆ
2) ในกรณีดมยาสลบ มีภาวะเสี่ยง หรือโรคประจำตัว จะมีการเตรียมพร้อมร่างกายสำหรับการผ่าตัดและดมยาสลบ ได้แก่
- การเอกซเรย์ ( X- ray )
- การตรวจเลือด ( CBC )
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ โดยเฉพาะคนอายุ 50 ปีขึ้นไปควรทำการตรวจถ้าต้องการดมยาสลบ
- ถ้าท่านมีโรคประจำตัว ก่อนผ่าตัดควรทำการปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านอายุรกรรม หรือ แพทย์ผระจำตัวของท่านก่อนทำการผ่าตัด
3) งดใช้ยา ยาบำรุง สมุนไพรบางชนิดที่อาจมีผลกับการผ่าตัด ก่อนการผ่าตัดอย่างน้อย 7 วัน และนำยาประจำตัวและยาสมุนไพรต่าง ๆ ที่รับประทานมาโรงพยาบาลเพื่อแจ้งแพทย์ในวันผ่าตัด เช่น
- ยาแก้ปวด กลุ่ม NSIADS
- ยาแอสไพริน
- วิตามิน E
- น้ำมันปลา ( Fish Oil )
- สาหร่ายทะเล (omega 3)
- เพราะ ยาหรือ อาหารเสริมดังกล่าวส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือด เรียกง่ายๆ เลือดออกง่าย หยุดยาก
4) ควรงดสูบบุหรี่ ก่อนการผ่าตัดประมาณ 6 สัปดาห์ เพื่อป้องกันภาวะเนื้อเยื่อขาดเลือดมาเลี้ยง ทำให้เนื้อเยื่อตายได้ ถ้าสูบบุหรี่จัดต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบทันที และควรงดสูบบุหรี่หลังผ่าตัดอย่างน้อย 2 สัปดาห์
5) หยุดดื่มสุรา ภายใน 24 ชั่วโมงก่อนผ่าตัด และควรหยุดดื่มสุราหลังผ่าตัดอย่างน้อย 1 สัปดาห์ เพราะ ถ้าหยุดแล้วท่านไปดื่มทันที รับรองเลิอดไหลเป็นน้ำแน่ๆ เพราะ alcohol มีส่วนกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต
6) อาบน้ำชำระร่างกายและสระผมให้สะอาด เพราะ อาจจะไม่ได้สระผม ไปเกือบ 1 สัปดาห์ เพราะ แผลที่เปลือกตาห้ามโดนน้ำ แต่ในคนไข้บางท่านที่ชอบดำน้ำและ มีแว่นตาดำน้ำใหญ่ๆ ที่กันน้ำได้ สามารถใส่แล้ว ทำการสระผมอย่างระมัดระวังได้นะครับ ุถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ถ้าๆไม่ได้สระผม
7) ห้ามใช้เครื่องสำอางบริเวณหนังตาและผิวหนังรอบดวงตาหลังผ่าตัด 1 สัปดาห์
8) ในกรณีดมยาสลบ งดน้ำและอาหารก่อนผ่าตัดตามแพทย์สั่ง เพื่อป้องกันการสูดสำลักน้ำย่อยหรือเศษอาหารจากกระเพาะอาหารเข้าไปสู่ปอดระหว่างการได้รับยาระงับความรู้สึก
9) หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์ควรใส่แว่นตากันแดด เพื่อความสบายตาในการมอง เนื่องจาก หลังผ่าตัด ตาจะเปิดกว้าง อาจมีความรู้สึกแสบตา เพราะ เห็นแสงจ้า นอกจากนี้ แว่นตากันแตด นอกจากกันแดดแล้ว ยังกันลม และ ฝุ่นด้วย
10) มีคนสนิทมาด้วย เพื่อพากลับบ้าน เพราะหลังผ่าตัดจะใช้สายตาไม่สะดวก ไม่ควรกลับบ้านตามลำพัง
ดูแลหลังผ่าตัด แก้ไขภาวะ กล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
- หลังผ่าตัดภายใน 24 – 72 ชั่วโมง นอนยกศีรษะสูง ประคบเย็นบริเวณดวงตาทั้งสองข้างเพื่อลดอาการบวม
- งดใช้สายตาในช่วงแรก ๆ เพราะการใช้สายตา อย่างการดูทีวีหรือการอ่านหนังสือ ต้องกะพริบตาและเปลือกตาเคลื่อนไหวตลอดเวลา ทำให้แผลอักเสบและหายช้า
- ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำเกลือ เช็ดคราบเลือด และสิ่งสกปรกออกอย่างเบามือ วันละ 2 – 3 ครั้ง เช็ดได้บ่อย ๆ เมื่อสกปรก
- หลังผ่าตัด 5 – 7 วัน แพทย์จะนัดติดตามอาการ แผลจะบวมอยู่ประมาณ 2 – 4 สัปดาห์ จากนั้นแผลจะหายเป็นปกติ ดูเป็นธรรมชาติประมาณ 1 เดือน
- หลังผ่าตัด 7 วัน ห้ามทานอาหารเผ็ดจัด เพราะจะทำให้เหงื่อออกมาก แผลเปียก ความดันเลือดสูงขึ้น อาจทำให้เลือดออกจากแผล
- หลังผ่าตัด 2 สัปดาห์ ต้องงดสุราและบุหรี่ เพราะมีผลกับการหายของแผลผ่าตัด งดการทำงานหรือการออกกำลังกายที่รุนแรง สามารถแต่งหน้าและแต่งแต้มดวงตาได้ตามปกติ
- หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับแผล ได้แก่ ตาแดงมาก เคืองตา แผลแยก ต้องมาพบแพทย์ทันที
- ทานยาตามที่แพทย์สั่ง ถ้ามีอาการแพ้ยา เช่น คัน มีผื่นแดง คลื่นไส้ อาเจียน แน่นหน้าอก ให้หยุดทานทันทีและรีบมาพบแพทย์
- กรณีที่ใส่คอนแทคเลนส์ให้เปลี่ยนไปสวมแว่นตาในช่วงสัปดาห์แรกหลังผ่าตัด หรือจนกว่าจะหายบวม ห้ามดึงเปลือกตาเพื่อใส่คอนแทคเลนส์เด็ดขาด เพราะแผลผ่าตัดอาจแยกจากกันได้ หลังผ่าตัดครบ 14 วัน สามารถกลับมาใส่คอนแทคเลนส์ได้ตามปกติ
- ห้ามขยี้ตารุนแรงหลังผ่าตัด 2 เดือน
- หากมีอาการปวดแผล สามารถรับประทานยาแก้ปวดได้
การผ่าตัดแผลเล็กต้องอาศัยความชำนาญและประสบการณ์ของศัลยแพทย์ตกแต่ง เป็นสำคัญ นอกจากนี้ การผ่าตัดตา ไม่สามารถทำหลายๆครั้งแบบ เสริมหน้าอก หรือ เสริมจมูกได้นะครับ พังแล้วพังเลย แก้ยากมากยิ่งถ้ากรีดแผลยาวๆมา ดังนั้นก่อนทำการผ่าตัด ควรปรึกษา ศัลยแพทย์ผู้ชำนาญการก่อน โดยสามารถ
ปรึกษา การผ่าตัด ทำตาแผลเล็ก แผลมินิ เพิ่มเติมที่ line OA ของคลินิก Grandmaster นะครับ
ข้อควรระวังและคำแนะนำ
แม้การทำผ่าตัดตาแผลเล็กจะมีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อควรพิจารณาเช่นกัน เทคนิคนี้เหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่มีเปลือกตาไม่หนามากและไม่มีปัญหาหนังตาหย่อนคล้อยอย่างรุนแรง หากมีหนังตาส่วนเกินเยอะมาก การผ่าตัดแบบกรีดยาวเพื่อตัดหนังตาส่วนเกินออกอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การเลือกศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เทคนิคแผลเล็กเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความแม่นยำและประสบการณ์สูงในการสร้างชั้นตาที่สวยงามและเท่ากันทั้งสองข้าง ดังนั้น การศึกษาข้อมูลและเลือกปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งที่มีความชำนาญและน่าเชื่อถือจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ก่อนตัดสินใจ ควรเข้ารับการประเมินโครงสร้างตาอย่างละเอียด เพื่อให้แน่ใจว่าเทคนิคนี้คือคำตอบที่ดีที่สุดสำหรับคุณ
บทสรุป แก้ไขภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง
ภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงไม่ใช่แค่เรื่องของความสวยงาม แต่เป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ต้องแก้ไขให้ตรงจุด การเลือกปรึกษาศัลยแพทย์ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านกายวิภาคของเปลือกตาโดยเฉพาะ จะทำให้คุณได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและได้รับการรักษาที่เหมาะสม เพื่อคืนดวงตาที่สดใส เปิดกว้าง และเสริมสร้างความมั่นใจให้กลับคืนมาอีกครั้ง การแก้ไขกล้ามเนื้อตาอ่อนแรงจึงเป็นทางเลือกที่สำคัญในการฟื้นฟูหน้าตาและความมั่นใจอีกครั้งหนึ่ง
บทสรุป: คืนความสดใสให้ดวงตาอย่างตรงจุด
หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เผชิญกับปัญหาตาปรือ ดูเหนื่อยล้า และไม่สดใส การแก้ไขอาจไม่ใช่แค่การทำตาสองชั้น แต่เป็นการรักษาที่ต้นเหตุอย่างภาวะกล้ามเนื้อตาอ่อนแรง การเลือกปรึกษาศัลยแพทย์ตกแต่งผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง คือก้าวแรกสู่การมีดวงตาที่กลับมาสดใส มีชีวิตชีวา และเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีให้คุณอีกครั้ง